“วินาทีแรกที่ทราบว่าเป็นมะเร็ง ผมตกใจมาก ความรู้สึกตอนนั้นไม่มีทางบรรยายออกมาได้เลย” เจิ้งไฉ ผู้ป่วยชาวพนมเปญประเทศกัมพูชา ผู้ซึ่งไม่เคยยอมแพ้ต่อเรื่องใดๆ ทุกเรื่องต้องการความสมบูรณ์แบบ จึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในเมื่อทุ่มเทไปมากขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงได้สิ่งตอบแทนเช่นนี้?
“พูดจริงๆ แล้วฉันก็ยากที่จะเผชิญหน้ากับความจริง แต่ว่านอกจากการตกใจแล้วฉันก็พยายามจัดการอารมณ์ของตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพจนปัญญาหมดทางสู้ ฉันเข้าใจดีว่าสามีของฉันก็กำลังรอให้ฉันร่วมเผชิญหน้ากับโรคร้ายนี้ไปด้วยกัน” ภรรยาของเจิ้งไฉกล่าว
เรื่องนี้ต้องเท้าความไปเมื่อ 5 ปีก่อน พ.ศ.2550 เจิ้งไฉปลดเกษียณมาอยู่บ้าน ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขกับภรรยา ในเดือนกรกฎาคม ตอนที่เจิ้งไฉปัสสาวะอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา หลังจากเป็นต่อเนื่องหลายครั้ง จึงได้ไปตรวจ CT สแกนที่ประเทศไทย และพบว่าบริเวณเอวด้านขวามีเนื้องอกอยู่ หลังจากตรวจอีกขั้นก็ชี้ชัดว่าเป็นมะเร็งไต
“ในตอนนั้น พวกเราเลือกรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด หลังจากผ่าตัดแล้วอาการของโรคก็ได้รับการควบคุมในระดับหนึ่ง หลังจากอาการดีขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาล ตอนนั้นพวกเราคิดว่าแบบนี้ก็เท่ากับว่ารักษาหายแล้ว คิดว่ามะเร็งจะไม่มาทำร้ายร่างกายผมอีก แต่ใครจะรู้หลังจากนั้น 3 ปี มะเร็งก็กลับมาอีก แถมยังไม่สามารถควบคุมอาการได้” เจิ้งไฉและภรรยาบอกเล่าถึงประสบการณ์การรักษาในตอนนั้น พ.ศ.2554 อาการของเจิ้งไฉกลับมากำเริบอีกครั้ง หลังจากกินยารักษาไปแล้วมีผลข้างเคียงมากจึงหยุดการรักษา เดือนตุลาคม พ.ศ.2555 เมื่อเจิ้งไฉและคนในครอบครัวสอบถามวิธีการรักษามะเร็งอย่างละเอียดแล้ว ก็ได้มารักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว จากการรักษาอย่างตั้งใจของคุณหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว ในที่สุดอาการของเจิ้งไฉก็ได้รับการควบคุม
“ที่นี่ไม่เพียงแต่เทคโนโลยีก้าวหน้า คุณหมอและพยาบาลก็มีความรับผิดชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับโรค หรือปัญหาที่พบได้ในชีวิตประจำวัน พวกเขาคอยตอบคำถามอย่างอดทน และแก้ปัญหาให้เราภายในระยะเวลาอันสั้น” เมื่อพูดถึงประสบการณ์การรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว เจิ้งไฉอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนกลางดึกร่างกายผมไม่สบาย หลังจากพวกเราแจ้งคุณหมอและพยาบาลแล้ว พวกเขาก็รีบมาช่วยเหลือทันที คุณหมอที่มีความรับผิดชอบแบบนี้ทำให้พวกเรารู้สึกวางใจ”
“ปัจจุบันนี้ เพื่อให้สามีได้พักฟื้นและบำรุงรักษาสุขภาพอย่างดีที่สุด รูปแบบการใช้ชีวิตของเราบอกได้เลยว่ากลับตาลปัตรจากเดิมไปหมดทุกอย่าง เมื่อก่อนตอนลูกๆ ไม่อยู่บ้าน ก็จะเป็นสามีที่ทำอาหารให้ฉัน ตอนนี้มารักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว และเพราะโรงพยาบาลมีห้องครัวให้ ก็กลายเป็นฉันที่ทำหน้าที่แม่บ้าน คอยดูแลอาหารการกินในชีวิตประจำวันให้เขา หมั่นหาทางเปลี่ยนเมนูอาหารเพื่อเพิ่มสารอาหารบำรุงร่างกายและปรับปรุงรสชาติ” ภรรยาเขาพูดอย่างเบิกบานใจ
ห้าปีมานี้ที่ได้จับมือคนในครอบครัวผ่านความลำบากในการเผชิญหน้ากับโรคนี้ไปด้วยกัน ทำให้ผมสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งว่า : ความรักของครอบครัวไม่ใช่เพียงสิ่งที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ ศีลธรรม และเป็นกำลังที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรค ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ เจิ้งไฉเล่าให้พวกเราฟังถึงประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดซึ่งได้รับจากการต่อสู้กับมะเร็งมา 5 ปี
เจิ้งไฉแบ่งปันประสบการณ์การรักษามะเร็งไต
เจิ้งไฉถ่ายภาพร่วมกับภรรยา