มะเร็งปากมดลูก หมายถึง ก้อนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณมดลูก ช่องคลอด และช่องปากมดลูก มะเร็งปากมดลูกมักจะเกิดในหญิงอายุประมาณ 50 ปี อีกทั้งผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจำนวนมากจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งครรภ์เร็ว คลอดบุตรหลายครั้ง และผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HPV แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ โรคมะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มที่จะเกิดกับหญิงที่อายุยังน้อยอีกด้วย
มะเร็งปากมดลูกมีอัตราการเกิดโรคเป็นอันดับสองในบรรดาโรคมะเร็งทั้งหมดที่เกิดกับเพศหญิง ทุกปีมีโรคมะเร็งปากมดลูก 53,000 รายเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่ง 85% มาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
โรคมะเร็งปากมดลูกเกือบ 70% เกิดจากเชื้อไวรัส HPV รองลงมาคือการสูบบุหรี่ และภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มาเกี่ยวพันกันก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ การติดเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia infectious) ความเคยชินในการบริโภคที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มักสัมผัสหรือใช้ยาที่มีฮอร์โมน มีประวัติทางครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก มักกินยาคุมกำเนิด มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งครรภ์เร็ว คลอดบุตรหลายครั้ง เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้
๑. ประจำเดือนมาผิดปกติหรือเมื่อหมดประจำเดือนแล้วยังมีเลือดออกทางช่องคลอด
๒. น้ำคัดหลั่งจากช่องคลอดเพิ่มมากขึ้น น้ำคัดหลั่งจะมีสีขาวหรือปนเลือด อีกทั้งมีกลิ่นเหม็นคาว
๓. มีอาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่และท้องผูก เป็นต้น
๔. มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในส่วนต่างๆ ของร่างกายที่แตกต่างกัน
๕. ซูบผอม โลหิตจาง เป็นไข้ และเกิดภาวะอ่อนเปลี้ยทางร่างกาย เป็นต้น
๑. ตรวจทางนรีเวชตามกำหนด สามารถช่วยค้นพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ปากมดลูกในระยะแรกได้
๒. โรคปากมดลูกอักเสบมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ฉะนั้น ต้องกระตือรือร้นในการดูแลโรคปากมดลูกอักเสบ
๓. ทำความคุ้นเคยและเข้าใจอาการโรคมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลทันที
๑. การตรวจแปปสเมียร์ ( Pap smear ) : หญิงที่สมรสแล้ว เมื่อได้รับการตรวจทางนรีเวชหรือการตรวจเพื่อป้องกันโรคมะเร็งทั่วไป ต้องทำการตรวจแปปสเมียร์ด้วย
๒. การทดสอบด้วยไอโอดีน : ตรวจดูปากมดลูกด้วยกล้องคอลโปสโคป แล้วทาปากมดลูกและเยื่อเมือกช่องคลอดด้วยไอโอดีนที่มีความเข้มข้น 2% บริเวณที่ไม่เกิดสีจะเป็นผลลบ ซึ่งหากพบส่วนที่มีผลลบผิดปกติ ควรตัดชิ้นเนื้อส่วนนั้นส่งตรวจทางพยาธิวิทยาทันที
๓. การตรวจเนื้อเยื่อ ( Biopsy ) : เมื่อการตรวจชิ้นเนื้อเป็นผลลบ ควรนำชิ้นเนื้อตรงจุดที่หก เก้า สิบสองและสามบริเวณรอยต่อของเซลล์เยื่อบุผิวไปตรวจ หรือใช้เครื่องมือขูดช่องปากมดลูก เพื่อนำเซลล์ไปตรวจทางพยาธิวิทยาต่อไป
๔. การตรวจด้วยกล้องคอลโปสโคป : การตรวจด้วยกล้องคอลโปสโคปไม่สามารถตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกได้โดยตรง แต่มีส่วนช่วยในการตรวจ Biopsy
๕. การตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปโคน ( Cone biopsy ) : เมื่อการตรวจ Biopsy ไม่สามารถชี้ชัดว่ามะเร็งไม่มีการลุกลาม ก็จะตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปโคนเพื่อนำไปตรวจวินิจฉัย
ระยะที่ 0 : เซลล์มะเร็งยังอยู่บริเวณผิวส่วนบนของปากมดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะ 0 เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า มะเร็งในจุดกำเนิด
ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก และเริ่มมีการลุกลาม
ระยะที่ 2 : เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปในช่องคลอด แต่ยังไม่ถึง 1/3 ของช่องคลอด หรืออาจลุกลามเข้าไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังของเชิงกราน
ระยะที่ 3 : เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปถึง 1/3 ส่วนล่างของช่องคลอด หรือลุกลามไปถึงกระดูกเชิงกราน หรือไปกดทับท่อไต ทำให้เกิดการอุดตันของระบบปัสสาวะ
ระยะที่ 4 : เซลล์มะเร็งลามออกจากส่วนอวัยวะเพศ หรือผ่านกระดูกเชิงกรานลามเข้าไปในลำไส้ตรง และกระเพาะปัสสาวะโดยตรง หรือแม้กระทั่งลามไปบริเวณอื่นๆ ที่ไกลออกไป
๑. การตัดมดลูกทิ้งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างพบบ่อย ซึ่งได้แก่
๑.๑ การตัดมดลูกทิ้งทั้งหมด : โดยผ่าตัดปากมดลูกและมดลูกทิ้งทั้งหมด
๑.๒ การตัดมดลูกทิ้งแบบถอนรากถอนโคน : โดยผ่าตัดปากมดลูก มดลูก ช่องคลอดส่วนบน รังไข่ ท่อนำไข่ และต่อมน้ำเหลืองที่มีการลุกลาม เป็นต้น
๒. การฉายรังสี มีข้อดีคือ คลื่นรังสีมีประสิทธิภาพในการกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่มีข้อเสียคือ มีผลกระทบต่อสมรรถนะรังไข่ของหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน
๓. การให้เคมี เป็นการใช้ยาเคมี เหมาะสำหรับมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้ายและมะเร็งปากมดลูกที่กลับมาเกิดซ้ำ แต่จะเกิดอาการข้างเคียงค่อนข้างหนักในระหว่างการแผนทางการแพทย์ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ร่างกายอ่อนแอนั้นจะทนไม่ค่อยไหว
๑. การดูแลด้านจิตใจ : ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมักจะเกิดอารมณ์หวาดกลัว กระสับกระส่าย และหงุดหงิดได้ง่าย เป็นต้น ครอบครัวควรดูแลเอาใจใส่และให้กำลังใจผู้ป่วย
๒. การดูแลด้านสุขอนามัย : หลังการผ่าตัดควรล้างช่องคลอดด้านนอกและปากท่อปัสสาวะวันละ 2 ครั้ง เพื่อความสะอาดของช่องคลอด นอกจากนี้ ยังสามารถรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ
๓. การดูแลด้านการออกกำลัง : ฝึกซ้อมการหายใจส่วนท้องและฝึกขมิบทวารหนัก เพื่อเพิ่มพลังการหดตัวของกล้ามเนื้อท่อปัสสาวะ และกล้ามเนื้อหูรูดของท่อปัสสาวะ ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทของกระเพาะปัสสาวะที่ได้รับความเสียหาย
๔. การดูแลด้านการบริโภค : ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง โปรตีนสูง และอาหารที่ย่อยง่ายให้มาก เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
ทีมผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงซึ่งรวบรวมแพทย์ศัลยกรรมด้านมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉายแสงมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านกเทคนิคแบบบาดแผลเล็ก พยาบาลผู้ดูแลแผนกมะเร็งและเจ้าหน้าที่ล่าม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะร่วมกันกำหนดแผนการโดยประเมินจากสภาพร่างกายและอาการของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก เพื่อยกระดับผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์จีนมานานหลายปี วิธีแบบแพทย์แผนจีนมีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลของร่างกายและช่วยในการต้านมะเร็ง หากบูรณาการข้อดีของการแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าการใช้วิธีเดียว “ เทคนิคบูรณาการแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนปัจจุบัน ” สามารถจัดการกับโรคมะเร็งปากมดลูกผ่านสี่รูปแบบ คือ การให้ยาจีนทางหลอดเลือดแดงอย่างต่อเนื่อง การพ่นยาจีนแบบละออง การใช้ยาจีนร้อนฉีดผ่านลำไส้ และการฉีดยาจีนตรงตำแหน่งฝังเข็ม ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นรูปแบบแบบบูรณาการในระดับแถวหน้า