จากการที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนส่วนมากกังวลว่าตนเองก็จะเป็นโรคมะเร็งโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นเช่นนั้น จะมีวิธีการป้องกันโรคมะเร็งตับได้หรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวได้แนะนำอาหารที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน คือ หน่อไม้ บุก หน่อไม้ฝรั่ง อาหารสามชนิดนี้ สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับได้
1.หน่อไม้:ช่วยการขับถ่าย ดีท็อกซ์
การรับประทานหน่อไม้ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยสารเซลลูโลสของหน่อไม้ให้กลายเป็นวิตามินที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ และสารเซลลูโลสของหน่อไม้เมื่อรวมกับกรดโคลิคในลำไส้จะช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
สูตรอาหารแนะนำ
เห็ดนางรม 60 กรัม เห็ดหัวลิง (เห็ดยามาบูชิตาเกะ) 60 กรัม เนื้อหมูและเนื้อไก่ดำอย่างละ 200 กรัม หน่อไม้ หั่นเป็นแผ่น 600 กรัม ใช้น้ำมันพืชผัดจนสุกหรือตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆ การรับประทานบ่อยครั้งจะช่วงป้องกันมะเร็งในระบบทางเดินอาหารและมะเร็งตับได้ ผู้ที่มีเลือดออกในกระเพาะอาหารอย่างรุนแรงและผู้ที่มีเส้นเลือดดำพองโตในหลอดอาหาร ควรระมัดระวังในการรับประทานหน่อไม้
2.บุก:เพิ่มความอยากอาหาร ป้องกันโรคโลหิตจาง
บุกอุดมไปด้วยแคลเซียม แคโรทีนและวิตามินซี ช่วยเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เอนไซม์ย่อยอาหารและ
การหลั่งน้ำดี มีส่วนในการช่วยเพิ่มความอยากอาหารให้ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซีและโรคตับเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคตับแข็งและโรคโลหิตจางเมื่อรับประทานบุกเป็นประจำ จะเพิ่มการหลั่งกรดและเอนไซม์ เพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก และยังช่วยเพิ่มและฟื้นฟูเกล็ดเลือด ป้องกันไม่ให้อาการคนไข้แย่ลงกว่าเดิม
สูตรอาหารแนะนำ
นำบุกมาปอกเปลือก แล้วนำไปผัด จะกรอบอร่อยกลมกล่อม
3. หน่อไม้ฝรั่ง:ลดความเมื่อยล้า
หน่อไม้ฝรั่งประกอบด้วยกรดนิวคลีอิก กรดโฟลิก กลูตาไธโอน โคลีน อาร์จินี แมนนัน และ Peptidase
rutin ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง หน่อไม้ฝรั่งยังเป็นอาหารเสริมให้กับผู้ป่วยมะเร็งตับ สามารถลดความเมื่อยล้า และเพิ่มความอยากอาหารได้อีกด้วย
สูตรอาหารแนะนำ
นำหน่อไม้ฝรั่งมาต้มให้สุกแล้วนำไปยำ ทานตอนเช้าและก่อนนอนวันละ 2 เวลา หรือนำหน่อไม้ฝรั่ง 5-10 กรัม ต้มน้ำรับประทานแทนชา กินต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน ในระหว่างนั้นไม่ควรเว้นหรือหยุดการรับประทาน
ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวชี้ว่า นอกจากหน่อไม้ 3 ชนิดแล้ว ผลิตภัณฑ์นมและผลไม้ก็สามารถป้องกันมะเร็งตับ และลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ แต่หากพบว่าเป็นโรคมะเร็ง ก็ควรเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล