ในฤดูหนาวตอนบ่ายสามในวันที่แสงแดดอบอุ่น เมื่อเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของคุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อก็จะเห็นว่าท่านกำลังอ่านรายงานผลของผู้ป่วยอยู่อย่างตั้งใจ บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยหนังสือการแพทย์มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหนังสือเทคโนโลยีการรักษามะเร็งของสมาคมมะเร็งในอเมริกาที่ชื่อว่า “Clinical Oncology ” ด้วย
การเป็นแพทย์ที่ฉลาดและมีเมตตาคนหนึ่ง
การเป็นแพทย์กว่า 20 ปีมานี้ คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือต้องเป็นแพทย์ที่ดี ต้องมีจริยธรรมและมีจิตใจที่คิดจะช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตา คิดอย่างรอบคอบ ละเอียด และเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี “การเป็นแพทย์จะพึ่งเพียงทฤษฎีมากมายกับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่างเดียวนั้นไม่ได้ จำเป็นต้องมีจรรยาบรรณทางการแพทย์ ความเข้าใจในมนุษย์และมีแรงใจด้วย ในบางครั้งเมื่อสถานการณ์ของผู้ป่วยอยู่ในอันตราย หากแพทย์ระมัดระวังมากเกินไป กังวลมากเกินไปก็อาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม นอกจากนี้แล้วแพทย์ไม่ควรที่จะประมาทเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆ เชื่อมั่นในตัวเองมากไป ซึ่งก็เป็นเหตุให้วินิจฉัยไปในทางที่ผิดได้ ในช่วงการเรียนรู้และปรับตัวแพทย์ทุกคนก็สามารถพบเหตุการณ์แบบนี้ได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามข้ามผ่านปัญหาต่างๆ เหล่านี้ไปให้ได้” คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อกล่าว
คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งมานับไม่ถ้วน ท่านจะคอยระมัดระวังและรอบคอบในการทำงานตลอด ท่านบอกว่า สำหรับผู้ป่วยนั้นยิ่งให้ความสำคัญกับความเหมาะสมและประสิทธิภาพของวิธีการรักษามากเท่าไหร่ สำหรับคุณหมอแล้วนั่นหมายถึงภาระความรับผิดชอบและความเสี่ยงที่มากขึ้นเท่านั้น และเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ดี คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อจะวางแนวทางการรักษาให้ดีที่สุดทุกครั้ง ในค่ำคืนที่เงียบสงบคุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อรู้สึกได้ว่า ความเห็นใจของแพทย์ที่มีให้ผู้ป่วยจริงๆ นั้นไม่ใช่การปลอบใจหรือหยาดน้ำตา แต่คือการทุ่มเทจากใจ ต่อให้แนวทางการรักษาจะถูกต้องแม่นยำมากแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ว่าผลการรักษาทุกครั้งจะออกมาสมบูรณ์แบบ เพราะอย่างไรแล้วการแพทย์ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องมีความเสียใจผิดหวังบ้างในบางครั้ง แต่กระนั้นเพียงแค่เดินมาถูกทาง ผู้ป่วยมะเร็งมากกว่า 60% ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้ ต่อให้เป็นมะเร็งระยะกลางหรือระยะสุดท้ายแล้ว ก็ยังสามารถมีความสุขในทุกๆ วันของชีวิตไปกับมะเร็งได้
การรักษามะเร็งนั้นมีมายาวนานหลายศตวรรษแล้ว ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีเกณฑ์การรักษาที่ได้มาตรฐานเกิดขึ้นมากมาย แต่ถ้าให้พูดถึงการรักษาเฉพาะบุคคล คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อเห็นว่า การรักษาแบบ “โรคเดียวกันวิธีรักษาต่างกัน” เป็นวิธีที่ดีที่สุดและแก้ปัญหาการรักษาเกินขอบเขตอาการได้ อย่างเช่น ผู้ป่วยสองคนที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเหมือนกัน แนวทางการรักษาแบบหนึ่งสำหรับผู้ป่วยคนหนึ่งอาจจะไม่เพียงพอ ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็อาจจะมากเกินไป ปัจจัยที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลอย่าง เพศ อายุ ระบบภูมิคุ้มกัน อาการต่างๆ การตอบสนองต่อยา เป็นต้น ล้วนเป็นสิ่งที่แพทย์รักษาด้านมะเร็งควรคำนึงถึง และให้การรักษาที่เปรียบเสมือนการวัดขนาดเสื้อผ้าของแต่ละคนก่อนที่จะตัดให้ตามบุคคลนั้น เพื่อบุคคลนั้นๆ เพียงคนเดียว
มองหาขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
ด้วยความที่คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมของการเป็นแพทย์ เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยท่านจึงเลือกเรียนด้านนี้โดยตรง เมื่อปี 2006 หลังจากที่ได้มาทำงานที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว ผ่านไปไม่นานก็ 7 ปีแล้วที่ท่านทำงานที่นี่ คุณหมอเผิงบอกว่าท่านรักในงานแพทย์ การได้ช่วยเหลือผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยได้มีสุขภาพที่แข็งแรงอีกครั้งนั้น ทำให้เขารู้สึกถึงความสุขในการทำงานและรับรู้ถึงคุณค่าของชีวิต
นับตั้งแต่สมัยโบราณในการแพทย์แผนจีนมีคำพูดที่ว่า “โรคเกิดจากใจ” ซึ่งในการแพทย์แผนตะวันตกสมัยใหม่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ในมนุษย์เรา 60% ของโรคเกิดจากภาวะทางด้านจิตใจ สาเหตุที่ก่อให้เกิดเนื้อร้ายส่วนมากมักเกิดจากภาวะทางด้านจิตใจเป็นสำคัญ ในโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวนั้น บุคลากรทางการแพทย์ส่วนมากต่างสวมบทเป็นจิตแพทย์ด้วย โดยเฉพาะในแผนกมะเร็ง แพทย์ที่ไม่ได้อยู่ในแผนกด้านจิตแพทย์จำเป็นต้องทราบความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาทางด้านจิตใจด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวกำหนดขึ้นเพื่อให้เข้ากับความต้องการด้านการแพทย์ในสังคมปัจจุบัน ทำให้การรักษารูปแบบใหม่อย่าง “การรักษาทั้งทางกายและจิตใจ” คงอยู่ในวงการแพทย์ เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายในการรักษาที่ไม่ใช่แค่ด้านร่างกายผู้ป่วยแต่รวมไปถึงการรักษาทางด้านจิตใจด้วย
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมะเร็งที่มีโรคซึมเศร้าจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการซึมเศร้าถึง 2 เท่า คุณหมอเผิงบอกว่า “สภาวะจิตใจโศกเศร้านั้นจะไปลดภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการพัฒนาของก้อนเนื้อมะเร็งและการลามของมะเร็งด้วย ในปัจจุบันนี้วิธีการรักษามะเร็งโดยทั่วไปมักจะละเลยปัจจัยทางด้านสภาวะจิตใจของผู้ป่วยไป ซึ่งในความจริงแล้วผู้ป่วยมะเร็งกลับต้องการทั้งสุขภาพแข็งแรง และสภาวะทางจิตใจที่เข้มแข็ง
ความจริงการทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีภาวะทางจิตใจด้านบวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การที่จะให้ผู้ป่วยรักษาสภาวะของจิตใจที่ดีให้คงอยู่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า พวกเรามีการจัดกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจให้ผู้ป่วยอย่างการปีนเขา ทริป 1 วัน ช้อปปิ้ง ดูหนัง เป็นต้น พยายามทำให้ผู้ป่วยคลายกังวลและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อาศัยพลังนอกเหนือจากตัวยาในการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย เมื่อผ่านการหลอมรวมจิตใจและร่างกายเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ก็ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงและใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข
ประวัติคุณหมอ
คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อ ผู้อำนวยการแผนกมะเร็งของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว ทำงานและวิจัยด้านมะเร็งมากว่า 20 ปี และเป็นสมาชิกในสมาคมการแพทย์จีน รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มการรักษาแบบบูรณาการความรู้หลากสาขาและการรักษามะเร็งแบบบาดแผลเล็กด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชี่ยวชาญในด้านการรักษาด้วยเคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด การรักษาแบบกำหนดเป้าหมายระดับโมเลกุล และการบูรณาการหลากหลายสาขา อีกทั้งเคยตีพิมพ์บทความทางการแพทย์ 20 กว่าบทความในนิตยสารความรู้ด้านเทคโนโลยีและการประชุมครั้งใหญ่ด้านเทคโนโลยีด้วย
คติจากการทำงานด้านการแพทย์ :คนที่ไม่มีจริยธรรมอยู่ในหัวใจ ก็ยากนักที่จะเป็นแพทย์
การเสวนาเด่นๆ
สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า : การกำจัดมะเร็งในร่างกายคนเรานั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อยู่ที่ยาเคมีหรือแสงรังสี แต่อยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของตัวเอง ในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายของตนเอง แต่ถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่มากพอก็เปิดโอกาสให้เซลล์มะเร็งได้เปรียบ ดังนั้นเวลารักษา พวกเราจะเลือกใช้วิธีการรักษาที่ทำร้ายระบบภูมิคุ้มกันให้น้อยที่สุด
ผู้ป่วยมะเร็งที่มีระดับความรุนแรงของมะเร็งต่างกัน จะรักษาอย่างไรดี ความคิดของคุณหมอนั้นสำคัญมาก ต้องแสดงความสามารถ ความแม่นยำในการใช้เทคโนโลยี เวลาคำนึงถึงสิ่งใดก็ตามต้องรอบคอบ วิธีการรักษาไม่ควรใช้เพียงวิธีเดียว ควรแยกแยะตามอาการและใช้หลายวิธีอย่างเหมาะสม ในช่วงของการรักษาก็ต้องเป็นผู้แนะนำด้านสุขภาพให้ได้ด้วย แนะนำวิธีการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันให้ผู้ป่วย เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย สร้างนิสัยที่ดีในการดูแลสุขภาพ
ชีวิตนั้นช่างอ่อนแอ วิกฤตและโอกาสคั่นไว้ด้วยเส้นบางๆ เพียงเส้นเดียว เมื่อเหยียบอยู่บนเส้นแห่งความเป็นและความตายแล้ว หากละเลยการสังเกตที่ดี พลาดโอกาสในการรักษา ก็จะกลายเป็นความเสียใจไปชั่วชีวิต ดังนั้นแล้วการเป็นแพทย์ที่ดี จะต้องมีกำลังใจมาก เมื่อรักษาโรคร้ายแรงจะต้องมีความรู้และความกล้า เมื่อรักษาโรคเรื้อรังต้องรู้จักการป้องกันและรับมือ
------คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อผู้อำนวยการแผนกมะเร็งของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว
สั่งสมความรู้ด้านเทคโนโลยีรักษาผู้ป่วยมะเร็งมามากมาย
ผู้ป่วยของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวส่วนมากมาจากประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรคของผู้ป่วยบางคนทั้งร้ายแรงทั้งซับซ้อน จึงง่ายต่อการวินิจฉัยผิดพลาด โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวใช้ระบบการวินิจฉัยร่วมกันในเคสผู้ป่วยที่รักษายาก เมื่อไม่สามารถแก้ไขภายในแผนกได้ ก็จะให้หลายแผนกในโรงพยาบาลมาช่วยแก้ปัญหา แต่ถ้ายังแก้ไม่ได้ก็จะหาวิถีทางจากโรงพยาบาลอื่นด้วย จากระบบการวินิจฉัยร่วมกันนี้ก็จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับแนวทางการรักษาที่ดีที่สุด
ในจำนวนผู้ป่วยที่คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อรักษามานั้น เคยมีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อยู่สองคน พวกเขาเห็นว่ายาที่พวกเขากินนั้นไม่เหมือนกัน คุณหมอเผิงจึงอธิบายว่า เนื่องด้วยระดับความร้ายแรงของมะเร็งของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แพทย์จึงควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างตรงนี้เพื่อวางแนวทางการรักษา ไม่ได้พิจารณาเพียงอาการภายนอกแล้วดำเนินการรักษา เช่นนี้ถึงจะสามารถผ่าตัดและให้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การที่แพทย์สามารถเลือกใช้วิธีในการรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับคนไข้ได้นั้น สิ่งแรกที่แพทย์ควรจะทราบและเข้าใจคือวิธีการรักษาที่เป็นไปได้และกระบวนการขั้นตอนทั้งหมด อย่างเช่น ต้องยึดตามอาการของผู้ป่วย สภาพร่างกายและปฏิกิริยาตอบสนองกับตัวยาของแต่ละบุคคล เพื่อเลือกปริมาณการให้ยาที่เหมาะสมถึงจะสามารถรักษาได้และทำร้ายร่างกายให้น้อยที่สุด ในปี 1999 คุณหมอเผิงไปศึกษาและดูงานที่ประเทศแคนาดา หลายปีที่รวบรวมความรู้ต่างๆ ไว้ จนสามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งให้มีสุขภาพที่แข็งแรงมานับไม่ถ้วน
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ อัตราการเป็นมะเร็งในทุกปีมีมากขึ้นถึง 3% - 5% “มะเร็งบางชนิดถ้าเป็นในระยะแรกจะไม่มีอาการใดใด ถ้าหากสามารถพบได้โดยเร็วว่าเป็นมะเร็งและรีบรักษา แม้กระทั่งหลังจากผ่าตัดอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ยาคีโมช่วยก็สามารถมีผลการรักษาที่ดีได้ คุณหมอเผิงบอกว่าเดี๋ยวนี้ที่โรงพยาบาลมีคนมาตรวจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนเริ่มตระหนักถึงการดูแลสุขภาพมากขึ้น การป้องกันมะเร็งโดยการตรวจสุขภาพนั้นก็ควรจะทำให้ถูกต้อง โดยปกติทำซีที อัลตราซาวด์ และวัดค่าบ่งชี้มะเร็งก็เพียงพอแล้ว
รักษาโรคร้ายต้องมีทั้งความกล้าและความรู้
เคยมีผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งเป็นนางแบบจากอินโดนีเซีย ที่โรงพยาบาลของอินโดนีเซียไม่รับรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายคนนี้แล้ว เธอจึงมาที่โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวด้วยใจที่คิดว่าลองดูอีกสักครั้ง ผู้ป่วยคนนี้มีสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่อาการไม่คงที่ หลังจากที่ผ่านการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว คุณหมอเผิงเลือกวิธีผ่าตัดและเสริมสร้างเต้านมใหม่ให้ จนถึงทุกวันนี้ผู้ป่วยยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรง เพียงเธอรู้ว่าคุณหมอเผิงจะมาอินโดนีเซีย ไม่ว่าเมืองไหน เธอก็จะบินไปพบท่าน จากที่ทราบมา เคสแบบนี้ไม่ใช่มีเพียง 1-2 เคส คุณหมอเผิงจึงย้ำว่า การเป็นแพทย์ที่ดีจะต้องมีกำลังใจมาก เวลาที่รักษาโรคร้ายแรงจะต้องมีความรู้และความกล้า เวลาที่รักษาโรคเรื้อรังต้องรู้จักการป้องกันและรับมือ
ในปี 2013 มีเคสเกี่ยวกับมะเร็งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ จึงทำให้ข้อโต้แย้งทางการแพทย์กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา มีข้อมูลทางสถิติรายงานว่า ข้อโต้แย้งทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐในระดับสองขึ้นไปของมณฑลกวางตุ้งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งข้อโต้แย้งทางการแพทย์นี้จะแทรกแซงระบบการแพทย์ที่มีอยู่เดิม และตัวแพทย์เอง เนื่องด้วยความกลัวในการถูกกล่าวหาหรือกังวลในอันตรายของชีวิต ก็จะไม่กล้าตัดสินใจเสี่ยงเพื่อผู้ป่วย ความเคารพและเกรงกลัวต่อชีวิต เป็นคุณสมบัติข้อแรกของแพทย์ หากกลัวที่จะเสี่ยงเพื่อผู้ป่วยแล้วเลือกที่จะถอยหลัง สำหรับคุณหมอและผู้ป่วยนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์ก็ไม่ได้รับประสบการณ์โดยตรงที่ผู้ป่วยให้มา คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อกล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว การแพทย์ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การค้าขาย เป็นภารกิจอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อาชีพ การเป็นแพทย์เพื่อหวังร่ำรวยนั้นถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ”
“ผู้ป่วยจะฝากชีวิตไว้กับคุณหมอ ช่วงการรักษา หากเกิดการผิดพลาด วินิจฉัยแบบผิดๆ กลายเป็นการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง พวกเราจัดการทุกอย่างตามวิถีทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนจะทำตามขั้นตอนที่วางไว้ซึ่งทำให้กระบวนการในการรักษาเป็นไปตามมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความเสี่ยงได้” เวลาที่อบรมนักเรียนในการรักษานั้น คุณหมอเผิงเสี่ยวชื่อจะเตือนเสมอว่า “ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ ด้านเสมอ มิเช่นนั้นความผิดพลาดก็จะรอพวกเธออยู่ข้างหน้าแล้ว”
ข้อมูลจาก : https://informationtimes.dayoo.com/html/2013-12/18/content_2486450.htm